โบท็อก คืออะไร ฉีดดีไหม ต้องรู้อะไรก่อนฉีดบ้าง
สำหรับใครที่กำลังสนใจหัตถการความงามเพื่อปรับรูปหน้า ลดริ้วรอย หรือแก้ปัญหากล้ามเนื้อบนใบหน้า “โบท็อก” (Botox) ถือเป็นตัวเลือกยอดนิยมที่หลายคนให้ความสนใจ เนื่องจากสามารถเห็นผลลัพธ์ชัดเจนในเวลาอันสั้น แถมยังมีความปลอดภัยสูงหากฉีดในปริมาณและตำแหน่งที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะตัดสินใจฉีดโบท็อก สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจกระบวนการทำงานของตัวยา การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน และเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามโดยเฉพาะ เพื่อป้องกันปัญหาหรือผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
ทำความรู้จักโบท็อก (Botox) จริง ๆ แล้วคืออะไร
โบท็อก คือ สารโบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin Type A) ซึ่งสกัดจากแบคทีเรียที่ชื่อว่า คลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum) มีคุณสมบัติสำคัญในการยับยั้งการทำงานของสารสื่อประสาทระหว่างเซลล์กล้ามเนื้อและเส้นประสาท ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดคลายตัวและเกิดการหดเล็กลง เมื่อกล้ามเนื้อไม่หดตัวแรงจนเกินไป ก็จะช่วยลดหรือป้องกันการเกิดริ้วรอยได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังนำมาใช้ในทางการแพทย์เพื่อรักษาโรคต่าง ๆ เช่น โรคไมเกรนหรือภาวะกล้ามเนื้อเกร็งได้อีกด้วย การเลือกฉีดโบท็อกจึงกลายเป็นทางเลือกด้านความงามที่ได้รับความนิยม เพราะสามารถช่วยปรับรูปหน้าและลดริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กลไกการทำงานของโบท็อกเป็นอย่างไร
เมื่อฉีดโบท็อกเข้าสู่กล้ามเนื้อ สารโบทูลินัม ท็อกซิน เอ จะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้สารสื่อประสาทชื่อ “อะเซทิลโคลีน” (Acetylcholine) ถูกปล่อยออกมาจากปลายประสาท ทำให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นไม่สามารถหดตัวได้ตามปกติ จึงเกิดการคลายตัวชั่วคราว ผลที่ตามมาคือริ้วรอยหรือร่องลึกที่เคยมีจะตื้นขึ้น และถ้าต้องการปรับกรอบหน้าหรือขนาดกล้ามเนื้อ เช่น กรามหรือขา ก็สามารถทำให้กล้ามเนื้อดูเรียวลงได้เช่นเดียวกัน กลไกนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะบริเวณที่ฉีดโดยไม่กระทบต่อส่วนอื่นในร่างกาย จึงได้รับการยอมรับว่าเป็นหัตถการที่ค่อนข้างปลอดภัยและเห็นผลจริงภายในระยะเวลาไม่นาน
ฉีดโบท็อกแล้วคุ้มค่าหรือไม่
หลายคนมักตั้งคำถามว่า “ฉีดโบท็อกดีไหม” คำตอบขึ้นอยู่กับความต้องการและปัญหาของแต่ละคน หากต้องการลดริ้วรอยบนใบหน้า ปรับรูปหน้าหรือแก้ปัญหากล้ามเนื้อกรามใหญ่ โบท็อกถือเป็นตัวเลือกที่ใช้เวลาไม่นาน ไม่ต้องผ่าตัด และเห็นผลค่อนข้างเร็ว อย่างไรก็ตาม การฉีดโบท็อกไม่ได้ให้ผลถาวร ต้องฉีดซ้ำเมื่อฤทธิ์ยาเริ่มหมด นอกจากนี้ หากใช้อย่างไม่ถูกวิธีหรือเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น หน้าแข็งตึงจนไม่เป็นธรรมชาติ ฉะนั้น การศึกษาข้อมูลและเลือกคลินิกที่เชื่อถือได้จึงสำคัญมาก
ฉีดโบท็อกอันตรายหรือไม่ หากฉีดผิดวิธี
โดยทั่วไป การฉีดโบท็อกไม่อันตรายหากใช้ตัวยาของแท้ มีมาตรฐาน และฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้เรื่องโครงสร้างใบหน้าและปริมาณการใช้ยาที่เหมาะสม แต่หากมีการฉีดโบท็อกปลอม หรือฉีดในปริมาณที่เกินขนาด อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรง เช่น หน้าเบี้ยว หนังตาตก หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรงในจุดที่ไม่ต้องการ รวมถึงอาจเกิดอาการแพ้บวมแดงอย่างรุนแรงได้ ดังนั้น ก่อนฉีดโบท็อกจึงควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของคลินิกหรือสถานพยาบาล รวมถึงสอบถามประสบการณ์ของแพทย์ผู้ทำหัตถการ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง
เคล็ดลับการฉีดโบท็อกให้ปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ที่ดี
หากต้องการฉีดโบท็อกให้ได้ผลลัพธ์สวยงามและปลอดภัย ควรพิจารณาเลือกแพทย์ที่มีใบอนุญาตและเชี่ยวชาญด้านผิวหนังหรือศัลยกรรมตกแต่ง พร้อมสอบถามประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับการฉีดโบท็อก อีกทั้งเลือกสถานพยาบาลที่มีมาตรฐานการรักษาและเครื่องมือรองรับอย่างครบถ้วน ในส่วนของผลิตภัณฑ์โบท็อก ให้เช็กว่ามาจากผู้ผลิตที่ได้รับการรับรองหรือไม่ นอกจากนี้ ควรแจ้งแพทย์ถึงโรคประจำตัว ยาที่ใช้อยู่ และประวัติการแพ้ยาต่าง ๆ เพื่อให้แพทย์วางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัยยิ่งขึ้น
ฉีดโบท็อกบริเวณไหนได้บ้าง
การฉีดโบท็อกสามารถทำได้หลายจุด ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ด้านความงามและการรักษา มาดูกันว่าบริเวณยอดนิยมมีอะไรบ้าง
บริเวณหน้าผาก
ฉีดโบท็อกเพื่อลดริ้วรอยแนวนอนบนหน้าผาก ช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น รอยยับหรือรอยย่นบนหน้าผากจะค่อย ๆ จางลงอย่างเป็นธรรมชาติ การฉีดบริเวณนี้ต้องอาศัยความแม่นยำ เพื่อเลี่ยงผลข้างเคียงเช่น หนังตาตกหรือคิ้วยกผิดตำแหน่ง หากทำอย่างถูกวิธีจะช่วยให้หน้าผากดูเรียบเนียนและมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น
บริเวณหว่างคิ้ว
เหมาะสำหรับคนที่มีรอยย่นลึกระหว่างคิ้วหรือมีสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดตลอดเวลา การฉีดโบท็อกในจุดนี้ช่วยลดรอยขมวดคิ้วและทำให้ดวงตาดูผ่อนคลายขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องใช้ปริมาณยาที่พอเหมาะ และฉีดในตำแหน่งที่ถูกต้อง เพื่อไม่ให้เกิดอาการยกคิ้วไม่เท่ากันหรือดูแข็งจนเกินไป
บริเวณหางตา
ริ้วรอยรอบดวงตาเป็นอีกจุดหนึ่งที่หลายคนกังวล เพราะทำให้ดูแก่กว่าวัย การฉีดโบท็อกบริเวณหางตาจะช่วยให้ดวงตาดูสดใส ลดตีนกาได้ดี แต่ควรระวังการฉีดลึกหรือใกล้ขอบตาเกินไป เพราะผิวหนังบริเวณรอบดวงตาบอบบาง ต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญประเมินอย่างละเอียด
บริเวณกรามและขากรรไกร
สำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวและลดขนาดกล้ามเนื้อกราม การฉีดโบท็อกบริเวณนี้จะช่วยให้ใบหน้าดูเรียวยาวได้อย่างชัดเจน โดยกล้ามเนื้อจะค่อย ๆ คลายตัวและหดเล็กลงเมื่อเวลาผ่านไป การฉีดบริเวณกรามต้องอาศัยประสบการณ์สูงในการประเมินจุดฉีดและปริมาณยาที่เหมาะสม
บริเวณคอหรือปลายคาง
บางคนมีลักษณะคอเป็นเส้นแสดงริ้วรอยหรือมีกล้ามเนื้อใต้คางเด่นชัด สามารถฉีดโบท็อกเพื่อให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นคลายตัว ช่วยให้ลำคอดูเรียวและกระชับขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องอาศัยเทคนิคเฉพาะเพื่อเลี่ยงผลข้างเคียง เช่น กลืนลำบากหากฉีดไม่ถูกตำแหน่ง
โบท็อกยี่ห้อยอดนิยมที่คนไทยไว้ใจ
ในท้องตลาดปัจจุบัน มีผลิตภัณฑ์ Botulinum Toxin Type A วางจำหน่ายอยู่หลายยี่ห้อ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองอย่างถูกต้องจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของประเทศไทย ถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกและจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อความปลอดภัยและมาตรฐานการรักษา. โบท็อกที่ผ่านการรับรองจาก อย. ไทย จะมีการควบคุมคุณภาพตั้งแต่การผลิต การขนส่ง การเก็บรักษา และมีเอกสารกำกับยาเป็นภาษาไทย ทำให้มั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานและปลอดภัยสำหรับใช้ในประเทศ.
ปัจจุบัน มีโบท็อกหลายยี่ห้อจากหลากหลายประเทศที่ผ่านการรับรอง อย. ไทย และเป็นที่นิยมใช้ในคลินิกเสริมความงามชั้นนำ. แต่ละยี่ห้ออาจมีจุดเด่น คุณสมบัติทางกายภาพ (เช่น ขนาดโมเลกุล, ความบริสุทธิ์, การกระจายตัวของยา) และราคาที่แตกต่างกันเล็กน้อย การทำความรู้จักกับยี่ห้อเหล่านี้จะช่วยให้สามารถปรึกษาแพทย์และร่วมตัดสินใจเลือกยี่ห้อที่เหมาะสมกับปัญหา งบประมาณ และความต้องการของตนเองได้ดียิ่งขึ้น.
Allergan (โบท็อกอเมริกา)
- ประเทศต้นกำเนิด: สหรัฐอเมริกา (USA).
- จุดเด่น: ถือเป็นแบรนด์ต้นตำรับ (Original Brand) ของ Botulinum Toxin ที่ใช้ในวงการความงาม มีประวัติการใช้ยาวนานและมีงานวิจัยทางคลินิกรองรับมากที่สุด. มีความบริสุทธิ์ของตัวยาสูงมากถึง 99.5% , ซึ่งช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะดื้อยาได้ดี. ลักษณะเด่นคือตัวยากระจายตัวในวงแคบ (Low Diffusion) ทำให้มีความแม่นยำสูงในการออกฤทธิ์เฉพาะจุดที่ฉีด.
- เหมาะสำหรับ: การลดริ้วรอยที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น รอยย่นหน้าผาก, รอยขมวดคิ้ว, รอยตีนกา รวมถึงการฉีดลดกราม ปรับรูปหน้า.
- ระยะเวลาออกฤทธิ์โดยประมาณ: 5-6 เดือน.
- ข้อควรรู้: มีราคาสูงกว่ายี่ห้ออื่นๆ ในท้องตลาด. เลขทะเบียน อย. ไทย (100 units): 1C 21/55 (NB). วิธีตรวจสอบของแท้: มีซีลใสป้องกันการเปิด, มีเลขทะเบียน อย. และเอกสารกำกับภาษาไทย, เลข Lot. บนกล่องและขวดตรงกัน, โทรเช็คเลข Lot. กับบริษัท Allergan Thailand (DKSH) ได้.
H3: Dysport (โบท็อกอังกฤษ)
- ประเทศต้นกำเนิด: สหราชอาณาจักร (UK).
- จุดเด่น: มีขนาดโมเลกุลของโปรตีนคอมเพล็กซ์เล็กกว่า Allergan เล็กน้อย. จุดเด่นสำคัญคือมีการกระจายตัวของยาที่กว้างกว่า (Wider Diffusion). ออกฤทธิ์ได้ค่อนข้างเร็ว. หากฉีดด้วยเทคนิคและปริมาณที่เหมาะสม จะให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ตึงจนเกินไป.
- เหมาะสำหรับ: การฉีดในบริเวณกว้าง หรือต้องการให้ยากระจายตัว เช่น การฉีดลิฟต์กรอบหน้าด้วยเทคนิค Dermolift, การฉีดลดเหงื่อบริเวณรักแร้หรือฝ่ามือ, การฉีดลดขนาดกล้ามเนื้อน่อง หรือต้นแขน.
- ระยะเวลาออกฤทธิ์โดยประมาณ: 4-6 เดือน.
- ข้อควรรู้: หน่วยวัดของ Dysport (Speywood Units หรือ s.U.) แตกต่างจากยี่ห้ออื่น โดยประมาณ 2.5-3 ยูนิตของ Dysport จะเทียบเท่ากับ 1 ยูนิตของโบท็อกยี่ห้ออื่น (เช่น Allergan, Nabota). ดังนั้น การคำนวณปริมาณยาที่ใช้ต้องอาศัยความเข้าใจและความชำนาญของแพทย์เป็นอย่างมาก เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยามากหรือน้อยเกินไป. เลขทะเบียน อย. ไทย (300 units): 1C 46/61 (NB), (500 units): 1C 45/61 (NB). วิธีตรวจสอบของแท้: มีเลขทะเบียน อย. และเอกสารกำกับภาษาไทย, เลข Lot. บนกล่องและขวดตรงกัน, เป็นผลึกยาที่ก้นขวด ต้องผสมน้ำเกลือก่อนใช้, โทรเช็คเลข Lot. กับบริษัท กัลเดอร์มา (ประเทศไทย) ได้.
Xeomin (โบท็อกเยอรมัน)
- ประเทศต้นกำเนิด: เยอรมนี (Germany).
- จุดเด่น: มีความโดดเด่นในเรื่องความบริสุทธิ์สูงมาก เนื่องจากใช้เทคโนโลยีการผลิตที่กำจัดโปรตีนที่ไม่จำเป็น (Complexing Proteins) ออกไปจนเกือบหมด เหลือเพียงโมเลกุลของ Botulinum Toxin Type A ที่ออกฤทธิ์จริงๆ (Pure Toxin). คุณสมบัตินี้ทำให้เชื่อว่ามีโอกาสกระตุ้นให้เกิดการดื้อยาน้อยที่สุดในทางทฤษฎี. มีงานวิจัยบ่งชี้ว่าอาจได้ผลดีในผู้ที่มีประวัติการดื้อโบท็อกชนิดอื่นมาก่อน (หลังจากหยุดพักการฉีดมาระยะหนึ่งแล้ว). การกระจายตัวของยาอยู่ในระดับปานกลาง ไม่แคบเท่า Allergan และไม่กว้างเท่า Dysport.
- เหมาะสำหรับ: การลดริ้วรอยทั่วหน้า, ปรับรูปหน้า, ลดกราม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่กังวลเรื่องความเสี่ยงในการดื้อยา หรือผู้ที่เคยมีประวัติดื้อยามาก่อน.
- ระยะเวลาออกฤทธิ์โดยประมาณ: 4-6 เดือน.
- ข้อควรรู้: สามารถเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้องได้ก่อนการผสมยา. เลขทะเบียน อย. ไทย (100 units): 1C 10/59 (BF). วิธีตรวจสอบของแท้: มีซีลใสป้องกันการเปิด, มีเอกสารกำกับภาษาไทย, เลข Lot. บนกล่องและขวดตรงกัน, เป็นผลึกยาที่ก้นขวด, โทรเช็คเลข Lot. กับบริษัท Merz Aesthetics ได้.
Nabota (โบท็อกเกาหลี)
- ประเทศต้นกำเนิด: เกาหลีใต้ (South Korea).
- จุดเด่น: เป็นโบท็อกสัญชาติเกาหลียี่ห้อเดียวในปัจจุบันที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (U.S. FDA approved 2018). มีความบริสุทธิ์ของตัวยาสูงถึง 98.7%. มีจุดเด่นที่ออกฤทธิ์ค่อนข้างเร็ว เห็นผลไว. มีราคาที่เข้าถึงง่ายกว่าเมื่อเทียบกับแบรนด์จากอเมริกาหรือยุโรป.
- เหมาะสำหรับ: การลดริ้วรอยต่างๆ (หน้าผาก, หว่างคิ้ว, ตีนกา), ลดกราม, ลิฟต์กรอบหน้า. เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็วในราคาที่คุ้มค่า.
- ระยะเวลาออกฤทธิ์โดยประมาณ: 4-5 เดือน ซึ่งอาจสั้นกว่าแบรนด์ตะวันตกเล็กน้อยในบางราย.
- ข้อควรรู้: เลขทะเบียน อย. ไทย (100 units): 1C 3/57 (BF). วิธีตรวจสอบของแท้: มีเอกสารกำกับภาษาไทย, มีสติกเกอร์โฮโลแกรมสะท้อนแสง 2 จุด (บนกล่องพิมพ์ “VOID IF REMOVE ORIGINAL”, บนขวดพิมพ์ “DW”), เลข Lot. บนกล่องและขวดตรงกัน, โทรเช็คเลข Lot. กับบริษัท มอนเดลีซ อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด ได้.
H3: Aestox (โบท็อกเกาหลี)
- ประเทศต้นกำเนิด: เกาหลีใต้ (South Korea).
- จุดเด่น: เป็นอีกหนึ่งยี่ห้อจากเกาหลีที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศไทย. มีข้อมูลระบุว่ามีความบริสุทธิ์สูง (99.5% ตามข้อมูลบางแหล่ง) , ซึ่งช่วยลดโอกาสดื้อยา. ออกฤทธิ์ได้เร็วใกล้เคียงกับ Allergan. มักให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ หน้าไม่แข็งตึง. มีราคาที่เข้าถึงง่าย.
- เหมาะสำหรับ: การฉีดลดกราม, ปรับรูปหน้า, ลดริ้วรอย, ลดขนาดกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น น่อง หรือรักแร้.
- ระยะเวลาออกฤทธิ์โดยประมาณ: 4-6 เดือน หรือ 4-5 เดือน.
- ข้อควรรู้: ผลิตโดยบริษัท Hugel Inc. ซึ่งเป็นบริษัทเดียวกับที่ผลิต Hugel Toxin. เลขทะเบียน อย. ไทย (100 units): 1C 6/62 (BF). วิธีตรวจสอบของแท้: คล้ายกับ Nabota คือมีเอกสารกำกับภาษาไทย, มีสติกเกอร์โฮโลแกรม, เลข Lot. ตรงกัน, โทรเช็คกับบริษัท Aestec Pharma ได้.
Hugel Toxin (โบท็อกเกาหลี)
- ประเทศต้นกำเนิด: เกาหลีใต้ (South Korea).
- จุดเด่น: เป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมและมียอดขายสูงในประเทศเกาหลี. มีข้อมูลระบุว่ามีความบริสุทธิ์สูง (99.5% ตามข้อมูลบางแหล่ง). มีลักษณะการกระจายตัวค่อนข้างแคบและออกฤทธิ์เร็ว. ให้ผลลัพธ์ที่ดีและดูเป็นธรรมชาติ. มีราคาที่เข้าถึงง่าย.
- เหมาะสำหรับ: การฉีดลดกราม, ลดริ้วรอย (ตีนกา, หว่างคิ้ว, หน้าผาก), ปรับหน้าเรียว, และยกกระชับผิว.
- ระยะเวลาออกฤทธิ์โดยประมาณ: 4-6 เดือน.
- ข้อควรรู้: ผลิตโดยบริษัท Hugel Inc. เช่นเดียวกับ Aestox. เลขทะเบียน อย. ไทย (50 units): 1C 4/56 (BF), (200 units): 1C 5/56 (BF). วิธีตรวจสอบของแท้: มี QR Code บนกล่องที่สามารถขูดฟอยล์และสแกนเพื่อตรวจสอบได้.
ตารางเปรียบเทียบยี่ห้อโบท็อกยอดนิยมที่ผ่าน อย. ไทย (โดยสรุป)
| ยี่ห้อ (Brand) | ประเทศต้นกำเนิด | จุดเด่น (ความบริสุทธิ์ / การกระจายตัว) | เหมาะสำหรับ | ระยะเวลาโดยประมาณ |
| Allergan | อเมริกา | สูงมาก (99.5%) / แคบ | ริ้วรอยเฉพาะจุด, ลดกราม | 5-6 เดือน |
| Dysport | อังกฤษ | สูง / กว้าง | ลิฟต์หน้า, ลดเหงื่อ, ลดน่อง/แขน | 4-6 เดือน |
| Xeomin | เยอรมัน | สูงสุด (Pure Toxin) / ปานกลาง | ลดริ้วรอย, ลดกราม, เคสกังวล/เคยดื้อยา | 4-6 เดือน |
| Nabota | เกาหลี | สูง (98.7%, US FDA) / ปานกลาง | ลดริ้วรอย, ลดกราม (เห็นผลเร็ว, คุ้มค่า) | 4-5 เดือน |
| Aestox | เกาหลี | สูง (99.5%) / ปานกลาง-แคบ | ลดกราม, ลดริ้วรอย (ธรรมชาติ, ราคาดี) | 4-6 เดือน |
| Hugel Toxin | เกาหลี | สูง (99.5%) / แคบ | ลดกราม, ลดริ้วรอย (นิยมในเกาหลี, ธรรมชาติ) | 4-6 เดือน |
หมายเหตุ: ข้อมูลความบริสุทธิ์และระยะเวลาเป็นค่าประมาณ อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลและแหล่งข้อมูล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อข้อมูลที่แม่นยำที่สุด
นอกเหนือจาก 6 ยี่ห้อหลักที่กล่าวมา ยังมียี่ห้ออื่นๆ ที่ผ่านการรับรอง อย. ไทย และอาจมีใช้ในบางคลินิก เช่น Botulax, Clodew, BTXA.
ท้ายที่สุดแล้ว การจะเลือก ฉีดโบท็อก ยี่ห้อไหนดีที่สุดนั้น ไม่มีคำตอบตายตัว ขึ้นอยู่กับการประเมินปัญหาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ งบประมาณที่ตั้งไว้ และผลลัพธ์ที่คาดหวัง การปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำเฉพาะบุคคลจึงเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการเลือกยี่ห้อโบท็อกที่เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับคุณ.
ฉีดโบท็อกกี่วันเห็นผล และแต่ละจุดใช้เวลานานแค่ไหน
โดยทั่วไป หลังการฉีดโบท็อก จะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงภายใน 3-7 วัน โดยจะเห็นชัดขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง 2-4 สัปดาห์แรก ทั้งนี้ระยะเวลาที่เห็นผลอาจแตกต่างกันไปตามบริเวณที่ฉีด เช่น บริเวณหน้าผากและหว่างคิ้วมักจะเห็นผลเร็ว ส่วนกรามหรือกล้ามเนื้อบริเวณที่มีขนาดใหญ่ อาจใช้เวลานานกว่าจะเห็นว่าเล็กลงอย่างชัดเจน หากมีการฉีดเพื่อปรับรูปหน้าร่วมกับการดูแลหลังฉีดอย่างเหมาะสม ก็จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ไวและคงอยู่ได้นานยิ่งขึ้น
ผลลัพธ์ของโบท็อกอยู่ได้นานเท่าไร
โดยเฉลี่ยแล้ว ผลลัพธ์ของการฉีดโบท็อกจะอยู่ได้นานประมาณ 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ ปริมาณการฉีด ตำแหน่ง และสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล ตัวอย่างเช่น บางคนอาจเห็นผลชัดเจนเพียง 3 เดือน แต่บางคนสามารถรักษารูปหน้าได้ดีนานถึง 6 เดือน หากต้องการคงผลลัพธ์ให้ยาวนานขึ้น อาจต้องฉีดซ้ำเป็นระยะหรือดูแลตัวเองด้วยการนอนพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะสุขภาพร่างกายแข็งแรงจะช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวช้าลงและโบท็อกมีประสิทธิภาพนานขึ้น
ฉีดโบท็อกซ์มาแล้วไม่เห็นผล เป็นเพราะอะไรได้บ้าง
(เกริ่น) หลายคนอาจประสบปัญหาฉีดโบท็อกแล้วไม่เห็นผลเท่าที่ควร บางครั้งเห็นผลเพียงเล็กน้อยหรือแทบไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งคุณภาพของตัวยา เทคนิคของผู้ฉีด หรือแม้แต่สภาพร่างกายของผู้รับบริการเอง ลองพิจารณาปัจจัยเหล่านี้
- ผลิตภัณฑ์โบท็อกไม่มีคุณภาพ
หากเลือกโบท็อกที่ไม่ได้มาตรฐานหรือเป็นของปลอม มีความเป็นไปได้ที่ตัวยาจะออกฤทธิ์ต่ำกว่าปกติ หรืออาจไม่ออกฤทธิ์เลย - ปริมาณยาไม่เหมาะสม
การใช้ยาน้อยเกินไปอาจไม่เพียงพอที่จะทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ขณะที่การใช้ยาเกินจำเป็นก็อาจทำให้หน้าแข็งเกินไป - เทคนิคการฉีดไม่ถูกต้อง
หากตำแหน่งที่ฉีดไม่ตรงกับกล้ามเนื้อเป้าหมายหรือฉีดลึกหรือตื้นเกินไป ก็มีผลทำให้โบท็อกไม่ออกฤทธิ์เต็มที่ - ร่างกายตอบสนองต่อโบท็อกได้น้อย
ในบางรายอาจมีภูมิคุ้มกันต่อสารโบทูลินัม ท็อกซิน เอ ทำให้โบท็อกออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่ หรือเกิดอาการดื้อโบท็อกในระยะยาว
สาเหตุที่บางคน “ดื้อโบท็อก” ไม่ได้ผลเหมือนเคย
ภาวะ “ดื้อโบท็อก” (Botox Resistance) เป็นภาวะแทรกซ้อนอย่างหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้จากการ ฉีดโบท็อก แม้จะพบได้ไม่บ่อยนัก แต่ก็เป็นเรื่องที่ควรทำความเข้าใจ เนื่องจากหากเกิดขึ้นแล้วจะส่งผลกระทบต่อการรักษาทั้งในด้านความงามและการแพทย์ในระยะยาว ภาวะนี้หมายถึง การที่ร่างกายของผู้ที่เคยฉีดโบท็อก เริ่มไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วย Botulinum Toxin อีกต่อไป หรือตอบสนองน้อยลงอย่างมาก.
กลไกการเกิดภาวะดื้อโบท็อก
ภาวะดื้อโบท็อกเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมองว่าโปรตีน Botulinum Toxin ที่ฉีดเข้าไปเป็นสิ่งแปลกปลอม จึงสร้างโปรตีนต่อต้านที่เรียกว่า “แอนติบอดี” (Antibody) หรือสารภูมิต้านทานขึ้นมา. แอนติบอดีเหล่านี้จะเข้าไปจับและทำลายโมเลกุลของ Botulinum Toxin ทำให้ตัวยาไม่สามารถเข้าไปจับกับปลายประสาทและยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อได้ตามปกติ ส่งผลให้การฉีดโบท็อกในครั้งต่อๆ ไป ไม่เห็นผล หรือเห็นผลน้อยลงมาก และ/หรือระยะเวลาที่ผลลัพธ์คงอยู่สั้นลงอย่างชัดเจน จากเดิมที่อาจอยู่ได้ 4-6 เดือน อาจเหลือเพียง 1-2 เดือน หรือสั้นกว่านั้น
ระดับของอาการดื้อโบท็อก
อาการดื้อโบท็อกอาจแสดงออกได้หลายระดับ :
- ระดับเริ่มต้น: อาจสังเกตว่าผลลัพธ์เริ่มอยู่ได้สั้นลงกว่าเดิม หรือต้องรอเวลานานขึ้นกว่าจะเห็นผล.
- ระดับปานกลาง: ต้องใช้ปริมาณยา (ยูนิต) มากขึ้นกว่าเดิมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงเดิม หรือแม้จะเพิ่มยาแล้วผลก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร.
- ระดับรุนแรง: ฉีดโบท็อกไปแล้วไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย แม้จะใช้ปริมาณยาที่สูงก็ตาม.
ผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อกที่อาจเกิดขึ้น
แม้ว่าการ ฉีดโบท็อก โดยทั่วไปจะมีความปลอดภัยสูงเมื่อทำอย่างถูกวิธี แต่ก็เหมือนกับหัตถการทางการแพทย์อื่นๆ ที่อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้บ้าง. สิ่งสำคัญคือการทราบว่าผลข้างเคียงแบบไหนที่พบได้บ่อยและไม่น่ากังวล และแบบไหนที่ควรต้องแจ้งให้แพทย์ทราบ การมีความรู้นี้จะช่วยให้ผู้รับการรักษาสามารถสังเกตอาการตนเองได้อย่างถูกต้อง และไม่ตื่นตระหนกเกินไปหากเกิดอาการเล็กน้อย.
ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ แบ่งออกได้เป็นกลุ่มๆ ดังนี้:
1. ผลข้างเคียงทั่วไปที่พบบ่อยและไม่รุนแรง (มักหายได้เองภายในไม่กี่วันถึง 1-2 สัปดาห์):
- รอยแดง, อาการบวมเล็กน้อย, หรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีด: เป็นผลโดยตรงจากการใช้เข็มฉีดยา ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติและพบได้บ่อยที่สุด สามารถประคบเย็น (หลังจากฉีดไปแล้วระยะหนึ่งตามคำแนะนำแพทย์) เพื่อช่วยลดอาการบวมช้ำได้.
- อาการปวดหรือเจ็บเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด: อาจรู้สึกเจ็บแปลบๆ หรือตึงๆ ในบริเวณที่ฉีด มักเป็นไม่มากและหายได้เอง.
- อาการปวดศีรษะ: บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะเล็กน้อยในช่วง 1-2 วันแรกหลังฉีด โดยเฉพาะหลังฉีดบริเวณหน้าผากหรือหว่างคิ้ว มักหายได้เอง. หากปวดมากผิดปกติ หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาเจียน ควรรีบปรึกษาแพทย์.
- รู้สึกหนักๆ หรือตึงบริเวณที่ฉีด: เป็นความรู้สึกที่บ่งบอกว่ายาเริ่มออกฤทธิ์ต่อกล้ามเนื้อแล้ว.
2. ผลข้างเคียงที่พบไม่บ่อย หรือมีความสำคัญมากขึ้น (มักเกี่ยวข้องกับเทคนิคการฉีด, ปริมาณยา, หรือการกระจายตัวของยา):
- หนังตาตก (Eyelid Ptosis): เกิดขึ้นเมื่อยาโบท็อกที่ฉีดบริเวณหน้าผากหรือหว่างคิ้ว เกิดการกระจายตัวลงมาโดนกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ยกเปลือกตาบน (Levator Palpebrae Superioris) ทำให้เปลือกตาดูตกลงมา หรือลืมตาได้ไม่เต็มที่. อาการนี้มักเป็นเพียงชั่วคราว และจะค่อยๆ ดีขึ้นเองเมื่อยาหมดฤทธิ์ ซึ่งอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึง 2-3 เดือน.
- คิ้วกระดกผิดปกติ (Spock Brow) หรือคิ้วไม่เท่ากัน: เกิดจากการที่กล้ามเนื้อหน้าผาก (Frontalis) คลายตัวไม่สมดุลกัน ทำให้คิ้วบางส่วนถูกดึงรั้งขึ้นไป ดูคล้ายตัวละคร Spock หรือคิ้วสองข้างดูไม่เท่ากัน. สามารถแก้ไขได้โดยการฉีดโบท็อกเพิ่มในจุดที่เหมาะสมโดยแพทย์.
- มุมปากตก, ปากเบี้ยว, หรือยิ้มไม่สมมาตร: มักเกิดจากการฉีดโบท็อกลดกราม แล้วตัวยากระจายไปโดนกล้ามเนื้อที่ใช้ในการยิ้ม (เช่น Risorius, Zygomaticus) ทำให้มุมปากตก หรือเวลายิ้มแล้วปากดูเบี้ยวไปข้างใดข้างหนึ่ง. เป็นผลข้างเคียงชั่วคราวที่จะหายไปเมื่อยาหมดฤทธิ์.
- ใบหน้าแข็งเกร็ง, แสดงสีหน้าไม่ได้, ดูไม่เป็นธรรมชาติ: เกิดจากการใช้ปริมาณโบท็อกที่มากเกินไป หรือฉีดในตำแหน่งที่กระจายกว้างเกินไป ทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าหลายส่วนคลายตัวมากเกินไปจนไม่สามารถแสดงสีหน้าได้อย่างปกติ.
- เคี้ยวอาหารลำบาก: อาจพบได้หลังการฉีดโบท็อกลดกราม โดยเฉพาะเมื่อเคี้ยวอาหารที่แข็งหรือเหนียว เนื่องจากกล้ามเนื้อ Masseter อ่อนแรงลง.
- แก้มดูหย่อนคล้อย: ในผู้ที่มีเนื้อแก้มค่อนข้างเยอะอยู่เดิม เมื่อฉีดโบท็อกลดกรามจนกรามเล็กลง อาจทำให้เนื้อแก้มที่เคยเกาะอยู่บนแนวกรามดูหย่อนคล้อยลงมาได้.
- ผิวหนังยุบตัว: เป็นผลข้างเคียงที่พบได้น้อยมาก อาจเกิดจากกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดฝ่อตัวลงชั่วคราว และมักจะหายได้เอง.
3. ผลข้างเคียงที่พบได้น้อยแต่รุนแรง (ควรไปพบแพทย์ทันที):
- อาการแพ้รุนแรง (Anaphylaxis): แม้จะพบน้อยมาก แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้ สังเกตจากอาการผื่นลมพิษขึ้นทั่วตัว, คันมาก, หน้าบวม, ปากบวม, หายใจลำบาก, ความดันโลหิตต่ำ.
- ปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น: เช่น ตาพร่ามัว, เห็นภาพซ้อน, หรือการมองเห็นเปลี่ยนแปลงไป อาจเกิดจากการฉีดใกล้ดวงตาผิดพลาด.
- ปัญหาการกลืนหรือการพูด: รู้สึกกลืนอาหารหรือน้ำลายลำบาก, พูดไม่ชัด, หรือเสียงเปลี่ยนไป.
- ปัญหาการหายใจ: รู้สึกหายใจลำบาก หรือหายใจติดขัด.
- กล้ามเนื้ออ่อนแรงทั่วร่างกาย: อาการอ่อนแรงลามไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายที่ไม่ใช่บริเวณที่ฉีด. อาการเหล่านี้อาจบ่งชี้ว่ายาเข้าสู่กระแสเลือด หรือเกิดในผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับระบบประสาทกล้ามเนื้ออยู่เดิม.
- การติดเชื้อ: บริเวณที่ฉีดมีอาการบวม แดง ร้อน กดเจ็บ หรือมีหนองไหลออกมา อาจเกิดจากการดูแลความสะอาดที่ไม่ดีพอ หรือใช้ยา/อุปกรณ์ที่ปนเปื้อน.
จะเห็นได้ว่าผลข้างเคียงที่น่ากังวลส่วนใหญ่ เช่น หนังตาตก ปากเบี้ยว หรือหน้าแข็ง มักมีความสัมพันธ์โดยตรงกับเทคนิคการฉีด ปริมาณยาที่ใช้ และตำแหน่งที่ฉีด มากกว่าจะเป็นผลจากตัวยาโบท็อกแท้เองโดยตรง. สิ่งนี้ยิ่งตอกย้ำความสำคัญของการเลือกฉีดกับแพทย์ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านกายวิภาคและมีประสบการณ์สูง ซึ่งจะสามารถหลีกเลี่ยงบริเวณเสี่ยงและใช้เทคนิคที่เหมาะสมเพื่อลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงเหล่านี้ได้. การแยกแยะระหว่างอาการปกติหลังฉีด (เช่น รอยช้ำเล็กน้อย) กับอาการผิดปกติที่ควรแจ้งแพทย์ (เช่น ตาตก, ปากเบี้ยว, สัญญาณติดเชื้อ) เป็นสิ่งสำคัญ. หากมีอาการผิดปกติหรือไม่แน่
บทสรุปของการฉีดโบท็อก ควรรู้ก่อนตัดสินใจ
การฉีดโบท็อก (Botox) เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในด้านความงาม เพราะสามารถช่วยลดริ้วรอย ปรับรูปหน้า และแก้ปัญหากล้ามเนื้อต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพในเวลาอันสั้น ทั้งยังไม่ต้องผ่าตัดและมีความปลอดภัยสูงหากดำเนินการอย่างถูกต้อง ก่อนฉีดจึงควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ตั้งแต่เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ผลิตภัณฑ์โบท็อกที่มีคุณภาพ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ พร้อมทั้งใส่ใจวิธีดูแลตัวเองก่อนและหลังฉีดอย่างเคร่งครัด เพื่อผลลัพธ์ที่สวยงามและไม่เสี่ยงต่อผลข้างเคียงในระยะยาว
The Vanish Clinic
แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนรับบริการฉีดโบท็อกทุกครั้ง เพื่อการวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุด




